โรค SLE คือโรคอะไร หลาย ๆ คนอาจจะเคยได้ยินและคุ้นหูอยู่บ้าง แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจริง ๆ แล้วโรค SLE เป็นมายังไง หรือมีอาการแบบไหน วันนี้เรามาไขข้อสงสัยในเรื่องนี้กันดีกว่า
เกี่ยวกับโรค SLE
หลาย ๆ คนคงจะเคยได้ยินเกี่ยวกับโรคพุ่มพวงหรือโรคแพ้ภูมิตัวเองกันมาบ้าง ซึ่งโรคนี้มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า “Systemic Lupus Erythematosus” หรือย่อ ๆ ว่า SLE นั่นเอง ทำให้บางคนไม่คุ้นชื่อนักเมื่อเรียกในชื่อแบบเป็นทางการ ซึ่ง โรค SLE เป็นโรคที่เกี่ยวกับความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายจนทำให้มีการอักเสบและมีการทำลายอวัยวะต่าง ๆ โดยสามารถเกิดขึ้นได้ทุก ๆ ส่วนของร่างกาย เช่น ข้ออักเสบ ผิวหนังอักเสบ ผื่นแดงตามผิวหนัง การอักเสบของเนื้อเยื่อ การอักเสบของไต และเส้นประสาทอักเสบ เป็นต้น ซึ่งโรคพุ่มพวงหรือโรคภูมิแพ้ตัวเองนี้จะเกิดขึ้นในผู้หญิงได้มากกว่าในผู้ชาย ดังที่เกิดกับคุณพุ่มพวง ดวงจันทร์ ราชินีลูกทุ่งผู้เป็นตำนานประจำประเทศไทย
สาเหตุที่ทำให้เป็น โรค SLE
เรื่องน่าเศร้าใจของคนที่เป็น โรค SLE หรือโรคพุ่มพวงคือโรคนี้เป็นโรคร้ายที่ยังไม่สามารถหาสาเหตุได้ เพราะเป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน โดยภูมิคุ้มกันของคน ๆ นั้นจะทำลายเนื้อเยื่อภายในร่างกายของตัวเองจนเกิดการอักเสบและสามารถทำให้เกิดความผิดปกติกับอวัยวะได้ทั่วร่างกาย ซึ่งผู้ป่วยจะมีอาการเกิดขึ้นที่หลาย ๆ อวัยวะร่วมกันโดยไม่ทราบสาเหตุ อาการเหล่านี้อาจเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันหรือต่างช่วงเวลากันก็ได้ โดยที่จะเป็น ๆ หาย ๆ เป็นระยะ ๆ และบางคนก็มีอาการรุนแรงของโรคภูมิแพ้ตัวเองที่แตกต่างกันไป
อาการโดยทั่วไปของ โรค SLE
แม้ว่าโรค SLE จะไม่มีสาเหตุของโรคที่แน่ชัด แต่ก็มีวิธีสังเกตอาการของโรคโดยทั่ว ๆ ไปได้ ซึ่งอาการของโรคพุ่มพวงมีอยู่หลายระดับ ถึงแม้จะรักษาไปแล้วแต่อาการจะยังคงอยู่แบบถาวร โดยอาการดังกล่าวมีอยู่หลายแบบดังนี้
-ข้อบวม รวมถึงมีอาการปวดร่วมด้วย
-มีไข้
-มีผื่นขึ้นบริเวณผิวหนังที่ได้รับแสงแดด โดยเฉพาะบริเวณจมูก แก้ม และใบหน้าที่จะมีผื่นคล้าย ๆ รูปผีเสื้อ
-อ่อนแรงมาก
-ผมร่วงมากกว่าปกติจนผิดสังเกต
-เจ็บหน้าอก หายใจลำบาก มีอาการเจ็บที่ชายโครงเวลาหายใจเข้า
-ไตอักเสบจนปัสสาวะมีเลือดปนหรือมีฟองมากผิดปกติ
-ความดันโลหิตสูง
-ภาวะเลือดจางหรือมีความผิดปกติของเม็ดเลือดขาวหรือเกล็ดเลือด
-ไวต่อแสงแดด
-มีแผลเปื่อยบริเวณจมูกหรือมีแผลในปาก
-ต่อมน้ำเหลืองบวมโต
-ปวดศีรษะ มีอาการสับสน
-เป็นลมชัก
-กล้ามเนื้ออักเสบหรือมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง
-เยื่อบุรอบปอดอักเสบ
-หัวใจอักเสบ
-ตาและปากแห้งแบบเรื้อรัง
หากใครมีอาการดังที่กล่าวข้างต้นมากกว่า 3 รายการก็ควรจะเอะใจและรีบเข้าพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยโรค ไม่ควรปล่อยให้มีอาการหนักขึ้นหรือมีอาการอื่น ๆ เพิ่มขึ้น เพราะไม่อย่างนั้นจะรักษาโรคภูมิแพ้ตัวเองได้ยากมากกว่าเดิม
วิธีการรักษาโรค SLE
โรคพุ่มพวงถือเป็นโรคภูมิแพ้ตัวเองแบบเรื้อรังที่ต้องทำการรักษาอย่างสม่ำเสมอ ไม่สามารถเว้นระยะการรักษาได้ เพราะไม่อย่างนั้นโรคจะไม่มีทางสงบลง ซึ่งหนทางการรักษานั้นแพทย์จะเริ่มประเมินจากระดับความรุนแรงของโรคก่อน เพราะแต่ละคนจะมีอาการไม่เท่ากัน แต่สำหรับผู้ป่วยโรค SLE ที่มีอาการรุนแรงมากแพทย์จำเป็นจะต้องใช้ยาสเตียรอยหรือยากดภูมิเพื่อควบคุมโรคเอาไว้ ส่วนตัวผู้ป่วยที่เป็นโรค SLE เองควรจะดูแลตัวเองเป็นพิเศษ เนื่องจากโรคนี้ไม่มีวิธีป้องกันไม่ให้เกิด แต่มีวิธีป้องกันไม่ให้กำเริบได้ ซึ่งผู้ป่วยที่เป็นโรคพุ่มพวงจะต้องอยู่ในที่ที่มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก หลีกเลี่ยงการโดนแดดแรง ๆ หรือโดนแดดเป็นเวลานาน ควรจะทาครีมกันแดดที่มี spf 50+ ทุกวัน งดทานอาหารดิบ พักผ่อนให้เพียงพอ ควบคุมความเครียด พยายามออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และหลีกเลี่ยงการใช้ยาคุมกำเนิดหรือการใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจน เพราะตัวยาอาจกระตุ้นทำให้โรค SLE กำเริบได้
โรค SLE ถือเป็นโรคที่ไม่สามารถทำการป้องกันได้อย่างเฉพาะเจาะจง เนื่องจากโรคนี้เป็นโรคร้ายที่ไม่ทราบสาเหตุของการเกิดโรคที่แน่ชัด บางรายมีสุขภาพที่ดูแข็งแรง แต่ปรากฏว่าเป็นโรคภูมิแพ้ตัวเองก็มี ทางที่ดีควรจะตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอเพื่อจะได้รู้เท่าทันโรคก่อนจะรักษายุ่งยากกว่าเดิม
อ่านบทความ “ฝีในอวัยวะเพศ” อันตรายสำหรับผู้หญิง มีสาเหตุมาจากอะไร