ยาคุมฉุกเฉิน สาวๆหลายคนก็คงเคยได้ยินมาบ้าง และรู้ว่าต้องกินหลังจากมีเพศสัมพันธ์แล้วไม่ต้องการให้มีการตั้งครรภ์เกิดขึ้น ไม่ว่าจะในกรณีของคู่สามีภรรยา คู่ที่ยังไม่ได้แต่งงาน หรือแม้แต่การถูกล่วงละเมิดทางเพศก็ตาม ยาคุมฉุกเฉินถือว่าเป็นยาใช้ฉุกเฉินหลังจากเกิดเรื่องผิดพลาดทางการคุมกำเนิด ซึ่งสาว ๆ ทุกคนควรจะมีข้อมูลความรู้เรื่องนี้ติดตัวไว้เพราะไม่ใช่ยาที่ควรจะกินบ่อย ๆ ได้
ยาคุมฉุกเฉิน ทำงานยังไง ?
ยาคุมฉุกเฉินที่สาว ๆ เลือกกินเมื่อเกิดความผิดพลาดในการคุมกำเนิดนั้นเป็นยาเม็ดฮอร์โมนขนาดสูง ต้องกินหลังจากการมีเพศสัมพันธ์เพื่อลดโอกาสในการตั้งครรภ์ ซึ่งให้ประสิทธิภาพภายใน 2 – 3 วัน โดยที่วิธีการทำงานของยาคุมฉุกเฉินคือการไปรบกวนการตกไข่ หรือรบกวนการปฏิสนธิของไข่กับอสุจิ แต่ในกรณีที่ได้รับการปฏิสนธิเป็นตัวอ่อนแล้วจะไม่สามารถใช้ยาคุมฉุกเฉินป้องกันได้ ฉะนั้นการกินยานี้ภายหลังตั้งครรภ์แล้วจึงไม่มีผลทำให้การสิ้นสุดการตั้งครรภ์เกิดขึ้น หรือไม่เป็นผลให้เกิดการแท้ง เนื่องจากยาคุมฉุกเฉินเป็นการใช้ยาเพียงระยะสั้นเท่านั้น อาจจะสรุปง่าย ๆ ว่าหากมีตัวอ่อนของทารกเกิดขึ้นแล้วยาคุมฉุกเฉินจะไม่มีส่วนช่วยคุมให้ไม่ท้องนั่นเอง
ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน แบบต่าง ๆ
ก่อนจะรู้วิธีกินสาว ๆ ต้องรู้ก่อนว่ายาคุมฉุกเฉินนั้นมีหลากหลายแบบ หลัก ๆ จะมีแบบ 1 เม็ดกับแบบ 2 เม็ด ได้แก่
ยาคุมฉุกเฉิน Ulipristal acetate (UPA)
ยาคุมฉุกเฉินตัวนี้ทาน 1 เม็ดครั้งเดียวเท่านั้น ในปริมาณ 30 mg มีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดฉุกเฉินสูงกว่าแบบ Levonorgestrel เพราะสามารถกินยาล่าช้าออกไปได้ถึง 120 ชั่วโมงหลังการมีเพศสัมพันธ์ นอกจากนี้ UPA ยังสามารถต้านการฝังตัวของไข่ที่ผสมแล้วได้ด้วย โดยออกฤทธิ์รบกวนการเตรียมความพร้อมของเยื่อบุมดลูก ในขณะที่ levonorgestrel ไม่มีผลดังกล่าว แต่ยาตัวนี้ยังไม่มีจำหน่ายในประเทศไทย หรือมีแต่ก็ยังหายากมาก ๆ
และยาคุมฉุกเฉิน Levonorgestrel
ยาคุมฉุกเฉินแบบฮอร์โมนโพรเจสตินในปริมาณ 0.75 mg ที่หลาย ๆ คนคุ้นเคย ยาคุมฉุกเฉินตัวนี้มี 2 เม็ด กินห่างกัน 12 ชั่วโมง โดยที่ต้องกินเม็ดแรกทันทีหรือไม่เกิน 72 ชั่วโมง ยี่ห้อที่มีขายในประเทศไทย เช่น Madonna, Postinor, Mary Pink หรือ levonorgestrel 1.5 mg
วิธีใช้ ยาคุมฉุกเฉิน
หากสาว ๆ ต้องการใช้ยาคุมฉุกเฉินแบบ 1 แผงมี 2 เม็ดจะต้องกินเม็ดแรกให้เร็วที่สุดหลังจากมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ได้ป้องกัน ภายใน 72 ชั่วโมงได้จะดีที่สุด ส่วนเม็ดที่ 2 กินหลังจากเม็ดที่ 1 ภายใน 12 ชั่วโมง และไม่แนะนำให้กินยาคุมฉุกเฉินเกิน 4 เม็ดหรือ 2 กล่องต่อเดือน หากสาว ๆ กลัวลืมกินเม็ดที่ 2 ก็สามารถกินยาคุมฉุกเฉินทั้ง 2 เม็ดพร้อมกันในครั้งเดียวได้ ซึ่งประสิทธิภาพและความปลอดภัยไม่แตกต่างจากการแบ่งกินถึง 2 ครั้งเลย แต่อาจมีผลข้างเคียงทำให้มีอาการคลื่นไส้หรืออาเจียนได้ง่ายขึ้น
ผลข้างเคียงจากการใช้ยาคุมฉุกเฉิน
โดยส่วนใหญ่แล้วผู้ใช้ยาคุมฉุกเฉินมักจะเกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ประจำเดือนมาเร็วหรือช้าลงจากเดิม บางรายอาจมีอาการปวดท้อง เจ็บหรือคัดเต้านม มีเลือดออกกะปริบกะปรอย หรือมีเลือดออกมากระหว่างเดือน นอกจากนี้ก็ยังมีความเสี่ยงในการตั้งครรภ์นอกมดลูกอีกด้วย หากหลังใช้ยาคุมฉุกเฉินประจำเดือนยังไม่มาเกินกว่า 1 สัปดาห์ก็ควรตรวจดูว่าเป็นเพราะตั้งครรภ์อยู่หรือไม่
เนื่องจากยาคุมฉุกเฉินสามารถยับยั้งหรือทําให้การตกไข่เลื่อนออกไปได้ ทำให้ระดับฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงจนอาจทําให้เยื่อบุโพรงมดลูกไม่เหมาะที่จะเป็นที่ฝังตัวของไข่ที่ถูกผสมแล้ว และอาจมีผลต่อการเดินทางของไข่ที่ถูกผสมด้วย จึงควรใช้อย่างระมัดระวัง หรือเลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง เน้นป้องกันอย่างดีที่สุดกันพลาดขณะไม่พร้อมจะดีกว่า
ผู้ที่ไม่ควรกินยาคุมฉุกเฉิน
-ผู้ที่เป็นมะเร็งภายในร่างกาย
-เป็นโรคตับเฉียบพลันหรือตับแข็ง
-เคยหรือเป็นโรคหัวใจและโรคเกี่ยวกับหลอดเลือด
-มีความดันโลหิตสูง
-โรคลิ่มเลือดอุดตัน
-โรคลมชักที่กินยากันชักควบคู่ไปด้วย
-โรคเบาหวานที่มีภาวะไตทำงานผิดปกติ หรือมีภาวะหลอดเลือดผิดปกติ
-ผู้ที่อายุมากกว่า 35 ปี มีพฤติกรรมการสูบบุหรี่จัด อ้วน มีไขมันในเลือดสูง
-เป็นไมเกรนชนิดที่มีอาการเตือน
อย่างไรก็ตามการใช้ยาคุมฉุกเฉินอย่างถูกต้องนั้นสามารถลดภาวะเสี่ยงในการตั้งครรภ์ได้เพียงร้อยละ 75 เท่านั้น ซึ่งยังมีประสิทธิภาพต่ำกว่าวิธีคุมกําเนิดแบบปกติทั่ว ๆ ไป เพราะขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่เริ่มต้นใช้ยา และช่วงเวลาของการมีเพศสัมพันธ์ว่าอยู่ในช่วงใดของรอบเดือน ถ้าหากกินยาคุมฉุกเฉินบ่อย ๆ ก็มีความเสี่ยงที่จะล้มเหลวได้ จึงไม่แนะนำให้ใช้ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินแทนการคุมกำเนิดแบบปกติ ควรเลือกใช้ในกรณีที่จำเป็นเท่านั้น เพราะชื่อก็บอกอยู่แล้วว่ายาคุมฉุกเฉิน ก็ควรใช้ในกรณีฉุกเฉินจะเป็นการดีมากกว่า
อ่านบทความ 10 อาหารที่สาวๆ ควรเลี่ยง เพราะจะทำให้มีตกขาว
เครดิตรูปภาพทั้งหมด : www.pixabay.com