ความเศร้าเล็ก ๆ เมื่อสะสมมากเข้าก็สามารถนำไปสู่โรคซึมเศร้าได้ ซึ่งองค์การอนามัยโลกได้เคยออกมาเปิดเผยว่าจากทั่วทั้งโลกนี้มีประชากรที่เป็นโรคซึมเศร้ามากถึง 264 ล้านคน แล้ว อาการโรคซึมเศร้า หน้าตาเป็นยังไง เรากำลังเข้าข่ายเป็นโรคซึมเศร้าอยู่หรือเปล่า ลองตรวจสอบสัญญาณต่าง ๆ ทั้ง 5 ข้อดังต่อไปนี้ได้เลย
1.อารมณ์เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
หากคุณเป็นหนึ่งคนที่เริ่มมีอาการหงอยเศร้า ซึม ๆ สะเทือนใจต่อเรื่องต่าง ๆ รอบตัวได้ง่าย อารมณ์อ่อนไหว ร้องไห้ได้ง่าย ๆ คล้าย ๆ กับเวลาที่ผู้หญิงมีประจำเดือนแล้วชอบดราม่ากับทุก ๆ เรื่องในชีวิต ซึ่งคุณเป็นเพศที่ไม่ได้มีประจำเดือน หรือยังไม่ถึงวันครบรอบที่ประจำเดือนต้องมา แสดงว่าคุณอาจจะกำลังมีอาการโรคซึมเศร้าก็เป็นได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็อาจจะไม่ชัดเจนเพียงพอเพราะคนเราบางครั้งก็มีท้อแท้หรือเหนื่อยจนอยากจะร้องไห้ได้ แต่หากอารมณ์ของคุณเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เช่น เคยสุขง่ายก็เริ่มหาความสุขไม่เจอ เคยเที่ยวสังสรรค์เฮฮาสนุกสนานได้แต่กลับรู้สึกเบื่ออยู่เสมอตลอดวัน บางคนซ้ำร้ายมีอารมณ์หงุดหงิดโมโห เริ่มฉุนเฉียวง่ายมากกว่าแต่ก่อน หากเป็นแบบนี้ก็ให้สังเกตตัวเองและตั้งสมมุติฐานไว้ก่อนเลยว่าคุณอาจจะกำลังมีอาการโรคซึมเศร้าเข้าให้แล้ว แต่เพิ่งเป็นระยะเริ่มต้นเท่านั้น ยังสามารถเยียวยาให้หายในเร็ว ๆ วันได้
2.มีความคิดแปลก ๆ ที่แตกต่างไปจากเก่า
โดยส่วนใหญ่คนที่มีอาการโรคซึมเศร้ามักจะทับถมตัวเอง มองแต่ข้อผิดพลาดในอดีตของตัวเองจนมองไม่เห็นทางออกที่มีอยู่ในปัจจุบัน จากที่เป็นคนมั่นใจในตัวเองก็กลับกลายเป็นคนที่ไม่ค่อยแน่ใจนักว่าตัวเองควรจะทำหรือควรจำพูดอะไรไหม และโดยส่วนใหญ่ก็จะคิดว่าตัวเองไม่มีความสามารถ เป็นภาระให้กับคนอื่น ไม่ค่อยมีประโยชน์อะไรให้กับสังคม จนเมื่อนานเข้า ๆ ก็จะเริ่มมีความคิดว่าตายไปน่าจะดีกว่า หรือตายไปให้จบ ๆ จะได้ไม่ต้องทนอยู่ในสภาพที่เป็นอยู่ในตอนนี้ ยิ่งหากมีเหตุการณ์อะไรมากระทบกระเทือนจิตใจในช่วงนี้ก็จะยิ่งทำให้มีแต่ความคิดลบ ๆ เพิ่มเป็นทวีคูณจนกลายเป็นคนที่ใช้ความคิดเพื่อกล่อมประสาทตนเองไปเรื่อย ๆ
3.สมาธิสั้น และความจำแย่ลง
สาเหตุที่ทำให้เริ่มไม่มีสมาธิกับอะไรก็ตามจากที่ไม่เคยเป็นมาก่อนนั้นก็เพราะมัวแต่ใช้ความคิดไปกับสิ่งอื่น ๆ เมื่อใจจดจ่ออะไรอย่างอื่นมากกว่าจึงทำให้กลายเป็นคนที่มีความจำแย่ลง สำหรับบางคนที่เป็นคนสมาธิสั้น ชอบลืมนั่นลืมนี่อยู่บ่อย ๆ อยู่แล้วก็อาจไม่ได้เกี่ยวกับอาการโรคซึมเศร้าก็เป็นได้ แต่หากคุณมีอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม และมีความคิดลบ ๆ มากกว่าเดิมร่วมด้วยแล้วละก็ ให้คาดเดาเอาไว้ก่อนเลยว่าคุณกำลังเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้าเข้าแล้ว ต้องรีบหาทางแก้ด้วยการปรึกษาใครสักคนที่เข้าใจจริง ๆ หรือเข้าพบจิตแพทย์สำหรับผู้ป่วยโรคซึมเศร้าโดยเฉพาะ เพื่อจะได้รับการแก้ปัญหาได้ถูกจุด เพราะสำหรับคนที่มีอาการโรคซึมเศร้าหากมีคำพูดจาบางอย่างที่เสียดแทงในใจเพิ่มจะยิ่งทำให้ดิ่งมากขึ้น การพบผู้ที่เชี่ยวชาญในการบำบัดรักษาผู้มีอาการซึมเศร้าโดยเฉพาะจะเป็นการเยียวยาที่ได้ประสิทธิภาพมากกว่า
4.ความสัมพันธ์กับคนรอบข้างเปลี่ยนไป
ผู้ที่เป็นซึมเศร้าโดยส่วนใหญ่มักจะค่อนข้างเก็บตัว เงียบ ๆ ไม่ค่อยพูดจากับใคร ค่อนข้างขี้ใจน้อย และอ่อนไหวง่าย หรือบางรายก็อาจจะกลายเป็นคนที่ขี้หงุดหงิดหรืองุ่นง่านไปมากกว่าเดิม ด้วยเหตุนี้จึงทำให้คนที่เป็นซึมเศร้าต้องการปลีกตัวออกห่างจากผู้คนเพราะไม่สามารถร่าเริงแจ่มใสเหมือนเมื่อก่อนได้อีกต่อไป สำหรับใครที่เริ่มสังเกตได้ว่าตัวเองเริ่มห่างหายไปจากสังคมที่เคยพบปะกันเป็นประจำ หรือบางคนอาจจะมีเพื่อนหรือคนใกล้ชิดที่เริ่มหายหน้าหายตาไป และสังเกตว่าเขาคนนั้นมักจะดูเศร้า ๆ ผิดจากปกติ ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่ากำลังมีอาการโรคซึมเศร้าอยู่หรือเปล่า
หากใครที่อ่านมาถึงข้อนี้แล้วรู้สึกว่าตรงทุกข้อก็ควรจะต้องลองปรับเปลี่ยนระบบความคิดในตัวเองใหม่อีกสักครั้งหนึ่ง อันที่จริงการมีสัตว์เลี้ยงสักตัวก็ช่วยผู้ป่วยซึมเศร้าให้มีอาการที่ดีขึ้นมาหลายต่อหลายคนแล้ว หากจะลองผ่อนคลายหรือลองได้ดูแลชีวิตที่แสนน่ารักเอาไว้ก็คงจะทำให้ชีวิตของคุณกลับมามีสีสันที่สดใสมากขึ้นก็เป็นได้
5.เริ่มมีอาการโรคจิต
สำหรับผู้ที่มีอาการโรคซึมเศร้าอย่างรุนแรงจะเริ่มมีอาการโรคจิตบางอย่าง เช่น เริ่มประสาทหลอน คิดว่ามีคนพยายามกลั่นแกล้งตน หรือมีคนมาจ้องจับผิดตน เรียกว่ามีอาการที่คิดว่ามีคนไม่ประสงค์ร้ายกับตนเองอยู่ตลอดเวลาก็ว่าได้ สำหรับบางรายจะมีอาการหูแว่วเพิ่มเข้ามาอีก จะเริ่มได้ยินว่ามีคนมาพูดด้วย เป็นเหตุให้กลายเป็นคนที่ดูน่ากลัว ดูหลอน ๆ คนส่วนใหญ่จะคิดไปในเชิงของเรื่องผีสาง แต่ในความจริงแล้วคืออาการโรคจิตที่เกิดจากอาการโรคซึมเศร้าอย่างรุนแรงเท่านั้น ซึ่งสามารถรักษาตัวให้หายดีขึ้นได้
อาการโรคซึมเศร้า ทั้งหมดนี้สามารถรักษาและบำบัดให้หายได้ หากยอมเปลี่ยนความคิด ยอมลองมองมุมกลับแล้วปรับมุมมอง ก็จะพบว่าชีวิตรอบตัวนั้นดีขึ้น สดใสขึ้น ไม่อึมครึม หมองหม่นอีกต่อไป ซึ่งการมองโลกในแง่ดีไม่ได้ทำให้คุณกลายเป็นคนโลกสวยที่ต้องถูกบูลลี่ แต่การมองโลกในแง่ดีนั้นหมายถึงการมองความเป็นจริงในอีกด้านหนึ่ง และเป็นด้านที่จะทำให้โลกภายในตัวเองนั้นกลายเป็นความสว่างไม่ใช่ความมืดครึ้มแบบที่เป็นอยู่
อ่านบทความ อยากนอนแต่ นอนไม่หลับ มีสาเหตุมาจากอะไรพร้อมวิธีแก้ไข
เครดิตรูปภาพทั้งหมด : https://pixabay.com/th/